วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ใบงานที่ 6 เรื่อง ซอฟต์แวร์ (Software)

  
คำชี้แจง  จงหาคำตอบแล้วเขียนคำตอบใส่ลงไปใน blog ของตนเอง
1. ให้นักเรียนเขียนชื่อซอฟต์แวร์ระบบ
1.1 OS (Operating System) 

1.2 Translation Program

1.3 Utility Program

1.4 Diagnostic Program

2. ให้นักเรียนเขียนชื่อโปรแกรมแบบPackage Program ทั้ง 8 ประเภทมาประเภทละ1โปรแกรม
       2.1  โปรแกรมทางด้าน Word Processor 
               Word Perfect
             2.2 โปรแกรมทางด้าน Spreadsheet   
                     Microsoft Excel 
             2.3 โปรแกรมทางด้าน Database 
                     Microsoft Access
             2.4 โปรแกรมทางด้าน Graphic 
                    Freelance Graphic
             2.5 โปรแกรมเกม ( Game) 
                    The sims
             2.6 โปรแกรมทางด้านการสร้างสถานการณ์จำลอง  
                     flight simulator
           2.7 โปรแกรมทางด้านการติดต่อสื่อสาร
                facebook
           2.8 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
                     ToolBook


3. ให้นักเรียนอธิบายข้อแตกต่างระหว่างซอฟต์แวร์ระบบและซอฟต์แวร์ประยุกต์
3.1ซอฟต์แวร์ระบบเป็นซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์
3.2ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อทำงานเฉพาะที่
    เราต้องการ
3.3ถ้าขาดซอฟต์แวร์ระบบไปคอมพิวเตอร์จะทำงานไม่ได้
3.4ถ้าขาดซอฟต์แวร์ประยุกต์ไปคอมพิวเตอร์ยังคงทำงานได้

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โครงสร้างของสถานีอวกาศ เมียร์

โครงสร้างของสถานีอวกาศ เมียร์
(Space Station Module)


สถานีอวกาศเมียร์ Core Module ถูกเชื่อมต่อกับโมดูลอื่นๆ อีก 6 โมดูล ได้แก่ Kvant-1,Kvant-2,Spektr,Docking port,Kristall และ Pridora จนมีลักษณะเป็นรูปตัวที (T) ขนาด 86x96x99 ฟุต มีน้ำหนักราว 143 ตัน ถ้ามียานสินค้ามาเชื่อมต่ออีกก็จะมีน้ำหนักถึง 154 ตัน
Gallery รวมภาพชุดของเมียร์


ภาพแสดงมอดูลต่างๆของเมียร์ 

 

     สถานีอวกาศเมียร์ทั้งระบบมีน้ำหนักรวมกันราว 130 ตัน แต่อาจมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่ามีการขนถ่ายอุปกรณ์อะไรเข้าไปหรือออกมาจากสถานีอวกาศ ในส่วนของมอดูลแกนนั้นมีขนาดกว้างประมาณ 4.2 เมตร ยาว ประมาณ 13 เมตร หรือประมาณเท่ากับตึกแถวชั้นเดียว 1 คูหา (ตึกแถวโดยทั่วไปจะมีขนาดกว้าง 4 เมตรและลึก 12 เมตร)     เนื่องจากสถานีอวกาศเมียร์นี้ถูกออกแบบให้มีมนุษย์ประจำการในระยะยาวได้ 2-3 คน มอดูลแกนนี้เป็นส่วนหลักและถูกส่งขึ้นไปเป็นมอดูลแรก ดังนั้นมันจึงต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเอง มีอุปกรณ์ที่จำเป็นทุกอย่าง มอดูลแกนนี้แบ่งออกเป็นพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่อื่นๆ อาทิ ห้องเครื่องยนต์ ทางเดิน ช่องเชื่อมต่อ ฯลฯ ในส่วนพื้นที่ใช้สอยเองยังแบ่งออกเป็นพื้นที่ส่วนปฏิบัติการหรือส่วนทำงานและส่วนที่พักอาศัย อันประกอบไปด้วยห้องควบคุม ห้องนอน ห้องครัว และห้องน้ำ ฯลฯ ลักษณะการตกแต่งภายในคล้ายบ้านเพื่อให้ความรู้สึกที่ดีแก่ผู้ที่มาประจำการ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่สบายเท่ากับอยู่บนโลก เพราะแต่ละห้องแต่ละส่วนนั้นล้วนแต่มีขนาดเท่ารังหนูเนื่องจากมีพื้นที่อันจำกัด
Core Module     โมดูลหลักของสถานี เป็นโมดลูส่วนแรกที่ถูกส่งขึ้นสู่ วงโคจรเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1986 เป็นส่วนบริการสำหรับอยู่อาศัย เอื้อชีวิต เป็นแหล่งพลังงาน และค้นคว้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ มีท่าเทียบสองด้านหัวท้าย และท่าเทียบแบบสี่ทิศทาง

     น้ำหนัก 20.4 ตัน
     ความยาว 13.13 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.15 เมตร
     แผงโซล่าเซลให้พลังงาน 10 กิโลวัตต์
     มีความจุ 90 ลูกบาศก์เมตร
 

Kvant-1     เป็นโมดูลส่วนที่สอง ที่ส่งขึ้นไปต่อกับ Core Module ด้านท้าย เมื่อปี คศ.1987 เป็นโมดูลขนาดเล็ก บรรจุเครื่องมือทางด้านดาราศาสตร์เพื่อค้นคว้าทางด้านฟิสิกส์ของกาแลกซี่ ควอซ่าร์ ดาวนิตรอน มีอุปกรณ์เอื้อชีวิต และห้องทดลองด้านชีววิทยา

      น้ำหนัก 11 ตัน
     ความยาว 5.8 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.15 เมตร
     แผงโซล่าเซลให้พลังงาน 6 กิโลวัตต์
     มีความจุ 40 ลูกบาศก์เมตร


Kvant-2     เป็นโมดูลส่วนที่สาม ส่งขึ้นไปต่อกับ port ด้านรัศมีของ Core Module ด้านหนึ่ง เมื่อปี คศ 1989 เป็นโมดูลด้านวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยส่วน EVA Airlock ,แผงโซล่าเซล, อุปกรณ์เอื้อชีวิต น้ำดื่ม แหล่งอ๊อกซิเยน ระบบควบควบการเคลื่อนไหว รวมทั้งห้องอาบน้ำ และซักล้าง

      น้ำหนัก 18.5 ตัน
     ความยาว 13.73 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.35 เมตร
     แผงโซล่าเซลให้พลังงาน 6.9 กิโลวัตต์
     มีความจุ 61.3 ลูกบาศก์เมตร
 

Kristall     โมดูลที่สี่ ส่งขึ้นไปเมื่อปี คศ.1990 ครั้งแรกเชื่อมต่อกับ Core Module ตรงข้ามกับ Kvant-2 มีแผงโซล่าเซลที่สามารถพับเก็บได้ บรรจุเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์ และท่าเทียบแบบพิเศษที่สามารถรับยานขนาดใหญ่ ที่มาจอดเทียบได้สูงสุด 100 ตัน ซึ่งกระสวยอวกาศแอตแลนติส ได้ใช้เป็นท่าเทียบจอดเมื่อครั้งเที่ยวบินที่ STS-71

      น้ำหนัก 19.6 ตัน
     ความยาว 13.73 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.35 เมตร
     แผงโซล่าเซลขนาด 5.5-8.4 กิโลวัตต์
     มีความจุ 60.8 ลูกบาศก์เมตร


Spektr     ถูกส่งขึ้นไปสู่วงโคจรด้วยจรวดโปรตอนของรัสเซีย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 1995 โดยเชื่อมต่อกับ Core Module ตรงข้ามกับ Kvant-2 แทนที่ Kristall บรรจุเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาโลกและชั้นบรรยากาศ
วันที่25 มิถุนายน 1997 spektr ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เมื่อยาน Progress M-34 และยานลำเลียง ชนกับโมดูลนี้ทำให้อากาศรั่ว จึงต้องมีการปิดตายส่วนนี้

     น้ำหนัก 19.6 ตัน
     ความยาว 13 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.35 เมตร
     มีความจุ 61.9 ลูกบาศก์เมตร


Docking Port     เป็นส่วนที่ส่งขึ้นกับกระสวยอวกาศแอตแลนติส เพื่อเชื่อมต่อเมียร์ตรงส่วนโมดูล Kristall ช่วงเที่ยวบิน STS-74

 

Priroda     เป็นโมดูลส่วนสุดท้ายที่นำขึ้นไปเชื่อมกับเมียร์ อยู่ตรงข้ามกับ Kristall module ส่งขึ้นไปเมื่อวันที่ 23 เมษายน 1996 ใช้เป็นส่วนสังเกตการณ์โลกในระยะไกล

      น้ำหนัก 19.7 ตัน
     ความยาว 13 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.35 เมตร
     มีความจุ 66 ลูกบาศก์เมตร



 
Soyus-TM
     ใช้เป็นยานลำเลียงนักบินอวกาศระหว่างสถานีอวกาศกับพื้นโลก และใช้เป็นยานลี้ภัยด้วย (Lifeboat)
 

     น้ำหนัก 7.1 ตัน
     ความยาว 7 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.7 เมตร
     แผงโซล่าเซลขนาด 1.3 กิโลวัตต์
     มีความจุ 10 ลูกบาศก์เมตร


Progress     เป็นยานส่งกำลังบำรุง อาหาร และอื่นๆ ให้กับนักบินอวกาศ

      น้ำหนัก 7.2 ตัน
     ความยาว 7 เมตร
     เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.7 เมตร
     แผงโซล่าเซลขนาด 1.3 กิโลวัตต์
     มีความจุ 7.6 ลูกบาศก์เมตร
 


ส่วนประกอบของเมียร์

ยานโซยุซ-ทีเอ็ม (ศรชี้)กำลังบินออกจากสถานีอวกาศเมียร์
     ส่วนหัวของมอดูลแกนต่อกับยานโซยุซ-ทีเอ็ม (Soyuz-TM) อันเป็นยานที่ควบคุมด้วยมนุษย์ ยานโซยุซ-ทีเอ็มนี้ใช้เป็นพาหนะขนส่งมนุษย์อวกาศไปกลับระหว่างสถานีอวกาศและโลก รวมทั้งยงใช้เป็นยานช่วยชีวิตในกรณีที่สถานีอวกาศเกิดเหตุร้าย ส่วนท้ายของมอดูลแกนต่อกับมอดูลควันต์และยานพรอเกรสส์-เอ็ม (Progress-M) อันเป็นยานที่ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ใช้มนุษย์ควบคุม มีหน้าที่ขนส่งสัมภาระและเสบียงจากโลกมาสู่สถานีอวกาศ รวมทั้งขนสัมภาระและขยะจากสถานีอวกาศกลับสู่โลก

ยานโซยุซ-ทีเอ็มกำลังเข้าเชื่อมต่อกับ เมียร์ ส่วนที่เห็นเป็นห้องทรงกลมสีดำ บริเวณกลางภาพคือห้องนักบิน ส่วน ที่เห็นคล้ายปีกแผ่ออกไปจากตัวยาน คือแผงเซลล์สุริยะซึ่งมีหน้าที่เป็นแหล่ง พลังงานแก่ยานขณะเดินทางในอวกาศ

มนุษย์อวกาศชาวรัสเซียที่ประจำการอยู่ในสถานีอวกาศ ชีวิตในอวกาศเป็นชีวิตที่ไร้แรงโน้มถ่วงผู้ที่ถูกส่งไปประจำการต้องได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ที่เห็นเป็นก้อนสีดำลอยอยู่กลางภาพและทั้งสองกำลังจ้องดูอยู่คือกล้องถ่ายภาพยนตร์และจะสังเกตได้ว่าห้องในสถานีอวกาศแห่งนี้มีขนาดเล็กคับแคบ

     นอกจากส่วนหัวและท้ายแล้ว รอบตัวมอดูลแกนยังเป็นช่องทางสำหรับต่อมอดูลได้อีก 4 มอดูล ได้แก่ มอดูลควันต์ 2 คริสตัลล์ สเปกตร์ และไพรรอดา

     มอดูลควันต์ (Kvant module) เป็นมอดูลแรกที่ถูกส่งขึ้นไปต่อกับมอดูลแกนในปี ค.ศ. 1987 มอดูลควันต์นี้ต่อเข้าทางส่วนท้ายของมอดูลแกน ภายในบรรจุกล้องโทรทรรศน์และอุปกรณ์ในการดำรงชีพ มอดูลนี้ใช้ศึกษาปรากฏการณ์ในอวกาศเป็นหลัก หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1989 มอดูลควันต์ 2 (Kvant 2 module) ก็ถูกส่งขึ้นไปต่อ ภายในมอดูลควันต์ 2 ประกอบด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์สำหรับควบคุมทิศทางของสถานีอวกาศ และอุปกรณ์ทั้งที่จำเป็นและที่เพิ่มความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต อาทิ ระบบน้ำดื่มและออกซิเจน ระบบควบคุมการเคลื่อนไหว อุปกรณ์ซักล้าง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีห้องกักอากาศซึ่งใช้เป็นช่องทางสำหรับให้มนุษย์อวกาศออกไปปฏิบัติการนอกสถานีอวกาศพร้อมชุดอวกาศอีกด้วย
 

สถานีอวกาศเมียร์เมื่อดูในระยะใกล้ แผ่นยาวลักษณะเป็นแผงคล้ายปีกที่เห็นทางด้านขวาของภาพคือแผงเซลล์สุริยะที่ให้เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานให้แก่สถานีอากาศ

ห้องควบคุมบนภาคพื้นดิน
     มอดูลคริสตัลล์ (Kristall module) ถูกส่งขึ้นไปต่อกับสถานีอวกาศในปี ค.ศ. 1990 ประกอบด้วยแผงเซลล์สุริยะเพื่อแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้า ใช้เป็นแหล่งพลังงาน อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ มอดูลนี้ใช้เพื่องานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาและด้านการสังเคราะห์สารเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ทดลองการสังเคราะห์สารต่างๆและศึกษาว่าสารที่สังเคราะห์ได้ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงต่างจากที่สังเคราะห์ได้บนโลกอย่างไร ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีท่าสำหรับให้กระสวยอวกาศในโครงการกระสวยอวกาศบูรัน (Buran space shuttle) ของสหภาพโซเวียตมาจอดเทียบ ต่อมาโครงการกระสวยอวกาศนี้ต้องชะลอออกไปเนื่องจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991
 


เมียร์ขณะโคจรอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก
 

สถานีอวกาศเมียร์กำลังโคจร อยู่เหนือพื้นโลก ที่เห็นเป็น ฉากหลังนั้นคือภาพพายุที่ก่อ ตัวในแถบมหาสมุทรอินเดีย ตอนใต้

สถานีอวกาศ



สถานีอวกาศเมียร์ ( MIR Space Station )

     เมียร์ สถานีอวกาศของโซเวียตซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานีอวกาศที่มีปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง
หลายชาติ และเป็นสถานีอวกาศเพียงแห่งเดียวของโลกได้โคจรอยู่ในอวกาศมานานถึง 11 ปีแล้ว 
ในรอบปีที่ผ่านมา เมียร์ซึ่งล่วงเข้าสู่วัยชราแล้วต้องประสบกับปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สถานีอวกาศเมียร์
     ในรอบปีที่ผ่านมา ผู้ที่ติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคงจะสังเกตได้ว่าสถานีอวกาศเมียร์ (Mir space station) ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งด้วยเรื่องในทางที่ไม่ค่อยดีทั้งสิ้น เช่น เครื่องทำความเย็นไม่ทำงานบ้าง สถานีมีรอยรั่วซึมบ้าง ฯลฯ และที่ร้ายที่สุดคือโดยยานอวกาศชนจนชำรุดเสียหายขนาดหนัก หลังจากนั้นก็ประสบกับปัญหาซ้ำเติมไม่หยุดหย่อน
  ผู้ที่ติดตามข่าวส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่าสถานีอวกาศเมียร์นั้นมีความเป็นมาอย่างไร และมีความสำคัญเช่นไร นิทรรศการนี้จึงขอนำเสนอความเป็นมา ความสำคัญ และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับสถานีอวกาศแห่งนี้แก่คุณผู้อ่าน พร้อมทั้งภาพถ่ายในอวกาศที่หาดูได้ยาก



ก่อนจะมาเป็นเมียร์

     สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต (ชื่อในสมัยก่อน ปัจจุบันสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว) ต่างก็แข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งทางด้านอวกาศ โลกก้าวเข้าสู่ยุคอวกาศในทศวรรษที่ 1950 โดยแรกที่สุดนั้น โซเวียตสามารถส่งดาวเทียมขึ้นสู่ห้วงอวกาศได้ก่อน ดาวเทียมดวงแรกของโลกนี้มีชื่อว่า สปุตนิก 1 (Sputnik 1) ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศในปี ค.ศ. 1957 และในปีถัดมา สหรัฐอเมริกาก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งดาวเทียมเอ็กซ์พลอเรอร์ 1 (Exploror 1) ตามขึ้นไปบ้าง หลังจากนั้นทั้ง 2 ชาติต่างก็ขับเคี่ยวด้านการบุกเบิกอวกาศกันมาตลอด

สถานีอวกาศซัลยุต
ในช่วง ค.ศ. 1971 ถึง 1882 โซเวียตดำเนินครงการสถานีอวกาศซัลยุต (Salyut) อันประกอบด้วยสถานีอวกาศถึง 7 รุ่นตลอดโครงการ โครงการสถานีอวกาศของโซเวียตนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ชีวิตและการทำงานในห้วงอวกาศ รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ศึกษาปรากฏการณ์ในห้วงอวกาศ การทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆในสภาพที่มีแรงโน้มถ่วงน้อย ฯลฯ

สถานีอวกาศสกายแล็บ
     เมื่อโซเวียตมีโครงการสถานีอวกาศ สหรัฐอเมริกาก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นเคย ในปี ค.ศ. 1973 สหรัฐอเมริกาได้ส่งสถานีอวกาศสกายแล็บ (Skylab) ขึ้นไปโคจรอยู่นอกโลกและมีการส่งลูกเรือไปประจำการ ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 สกายแล็บก็หมดอายุขัย ซึ่งตามแผนขององค์การนาซา สกายแล็บที่หล่นจากวงโคจรจะตกลงในมหาสมุทรอินเดีย แต่เกิดความผิดพลาดขึ้น เศษซากบางส่วนของสกายแล็บซึ่งแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขณะตกสู่โลกได้หล่นลงสู่พื้นดินแถบออสเตรเลีย โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายจากเศษของสถานีอวกาศค้างฟ้าแห่งนี้แต่ก็เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกอยู่พักหนึ่ง


เมียร์ กรุยทางสู่นิคมในอวกาศ

     เมื่อหมดจากยุคของซัลยุตและสกายแล็บก็เข้าสู่ยุคของสถานีอวกาศเมียร์ วัตถุประสงค์ของเมียร์ยังคงคล้ายคลึงกับของซัลยุต นั่นคือใช้เป็นสถานที่ศึกษาการใช้ชีวิตในห้วงอวกาศในระยะยาว รวมทั้งใช้สังเกตปรากฏการณ์ในห้วงอวกาศและใช้ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผสมกันไปทั้งกิจการทหารและพลเรือน
     ในขณะที่โซเวียตให้ความสนใจบุกเบิกอวกาศทางด้านสถานีอวกาศอันจะเป็นฐานความรู้สำหรับการสร้างนิคมในอวกาศต่อไปดังในนิยายวิทยาศาสตร์ สหรัฐอเมริกาดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขันด้วย แต่หันไปเอาดีทางด้านโครงการกระสวยอวกาศ (space shuttle) อันเป็นยานที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางไปมาระหว่างโลกและอวกาศได้หลายครั้ง แต่ก็ปรากฏในเวลาต่อมาว่าโครงการของทั้ง 2 ชาตินี้สามารถหนุนเสริมการบุกเบิกอวกาศซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

มุมกล้องสวยๆของสถานีอวกาศเมียร์ ซึ่งมีพื้นโลกที่โดนแสงอาทิตย์สาดส่อง เพียงบางส่วนเป็นฉากหลัง ภาพนี้ถ่าย จากยานกระสวยอวกาศแอตแลนติส
มองโลกจากสถานีอวกาศเมียร์ ในภาพนี้จะเห็นส่วนหนึ่งของ สถานีอวกาศด้วย

     สถานีอวกาศเมียร์เป็นสถานีอวกาศแบบแยกส่วน มีส่วนประกอบหลักทั้งสิ้น 7 ส่วนหรือที่เรียกว่า 7 มอดูล (module) โดยส่วนแกน (core module) ซึ่งเป็นมอดูลหลักในการให้มอดูลอื่นๆมาต่อด้วยนั้นถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรเหนือโลก 390 กิโลเมตรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986 และหลังจากนั้นมอดูลอื่นๆก็ถูกส่งตามขึ้นไปในภายหลัง 
สรุปเหตุการณ์ช่วง 15 ปีที่ผ่านมาสถานีอวกาศเมียร์ 
 
มารู้จักกับเมียร์

     สถานีอวกาศเมียร์ เป็นโครงการอวกาศด้านวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย รุ่นที่สาม นับจากโครงการ Salyut Station เมื่อปี 1970 และ 1980 ซึ่งประสพผลสำเร็จทำให้ MIR เติบโตขึ้นมา

     ชื่อ MIR มีความหมายว่า สันติ (Peace) โดยโครงการสถานีอวกาศเมียร์ เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1986 ชิ้นส่วนสถานีชิ้นแรก ที่เรียกว่า Core Module ถูกส่งเข้าสู่วงโคจร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1986 (พศ. 2529) อยู่ในวงโคจรที่ระดับความสูง 248-261 กิโลเมตร (อยู่ต่ำกว่า สถานี ISS ) โดยโคจรรอบโลกด้วยความเร็ว ประมาณ 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 16 รอบต่อ 1 วัน ทำมุมเอียงกับเส้นอิคลิปติด 51.6 องศา และหลังจากนั้น ชิ้นส่วนอื่นๆของสถานีก็ถูกส่งขึ้นไปเชื่อมต่อเรื่อยๆ มีมูลค่าทั้งสิ้น 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

แสดงแนวโคจรของสถานีอวกาศเมียร์
 

สรุปเหตุการณ์ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
     - 1986 สหภาพโซเวียด ส่งโมดูลของสถานีเมียร์ส่วนแรก Core Module เข้าสู่วงโคจร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1986 และลูกเรือกลุ่มแรกที่ขึ้นบนสถานี เมื่อวันที่ 13 มีนาคม

     - 1987 โมดูลส่วนที่สอง Kvant-1 ก็ถูกส่งขึ้นไป เชื่อมต่อ แต่ประสพปัญหาในการต่อยาน ปรากฏว่า พบเศษขยะอยู่ในส่วนเชื่อมต่อ (Docking Port)


     - 1991 ยานขนส่งสินค้าควบคุมไม่ได้ระหว่างเข้าเชื่อมกับ สถานีทำให้เกือบชนกับสถานีอวกาศ และทางรัสเซีย ขาดเงินทุน ประกอบกับการล้มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้ลูกเรือ ต้องอยู่ในอวกาศนานขึ้นกว่าที่กำหนดไว้


     - 1995 นักบินอวกาศชาวรัสเซีย Valery Polyakov เดินทางกลับโลก หลังจากที่ต้องอยู่ในอวกาศนานถึง 438 วัน หรือ 14 เดือน นับเป็นการอยู่ในอวกาศนานที่สุด เป็นครั้งแรก และ Norman Thagard เป็นชาวอเมริกันคนแรก ที่ไปเยี่ยมสถานีอวกาศเมียร์


     - 1997 เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง กับสถานีอวกาศ โดยครั้งแรก 23 กุมภาพันธ์ ถังผลิต อ๊อกซิเยนในสถานีเกิดติดไฟขึ้น ทำให้เกือบไฟครอก ลูกเรือในสถานี , วันที่ 25 มิถุนายน ยานสินค้า กระแทกกับตัวสถานี ระหว่างการฝึกควบคุมการเชื่อมต่อ ด้วยมือ ทำให้ส่วนห้องทดลองอากาศรั่ว แต่ลูกเรืออุดลอยรั่วไว้ได้ทัน , สองวันต่อมาคอมพิวเตอร์ บนสถานีดับ, เดือนกรกฏาคม ลูกเรือตัดพลังงานบนสถานี ก่อนกำหนดทำให้สถานีต้องลอยคว้างอยู่ในอวกาศ และอีก 1 เดือนต่อมา เครื่องคอมพิวเตอร์หลักดับ ระหว่างเชื่อมต่อกับยานขนส่งสินค้า ทำให้สถานีต้อง ลอยคว้างในอวกาศควบคุมไม่ได้อีกครั้ง


     - 1999 รัสเซียประกาศจะทิ้งสถานีอวกาศเมียร์ในปี คศ.2000 นอกจากว่าจะมีเงินทุนมาสนับสนุน และนักบินอวกาศ Sergei Avdeyev ทำสถิติใหม่อยู่บนสถานีอวกาศนานที่สุดคือ 747 วัน และเดินทางกลับโลกวันที่ 27 สิงหาคม


     - 2000 MirCorp ซึ่งนักธุระกิจชาวอเมริกันเป็นเจ้าของ ชื่อ Dennis Tito วางโครงการจะเช่าสถานีอวกาศ เมียร์ และจะจัด space tourist สร้างโมดูลเพื่อ เชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติ และตัวเค้าก็จะ เดินทางไปอยู่บนเมียร์ด้วย แต่ทางการ รัสเซียแจ้งว่า MirCorp ไม่ทำตามข้อตกลง จึงประกาศจะทิ้ง สถานีอวกาศเมียร์



ประวัติศาสตร์อันยาวนาน

     นับจากวันที่ชิ้นส่วนแรกของเมียร์ถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรเมื่อปี คศ.1986 จนถึงปัจจุบัน เมียร์มีอายุเกือบ 15 ปีแล้ว โคจรรอบโลกมาแล้ว 83,500 รอบ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมียร์ ที่ให้ประโยชน์แก่วงการวิทยาศาสตร์ อย่างมากมาย มีมนุษย์ได้ขึ้นไปอยู่แล้ว 104 คน จากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นของรัสเซียเอง 42 คน มีการทำสถิติให้มนุษย์ อยู่ในอวกาศได้นานที่สุด 747 วัน โดยนักบินอวกาศ Sergei Avdeyev ระหว่างปีคศ.1997-1999 และการเดินในอวกาศของมนุษย์อวกาศ 78 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 352 ชั่วโมง โดยสถิติเป็นของ Anatoly Solovyov เดินในอวกาศ 16 ครั้ง รวมเวลา 77 ชั่วโมง


วาระสุดท้ายของเมียร์

     ในปี คศ. 1999 ทางการรัสเซียประกาศจะทำลายสถานีอวกาศเมียร์ทิ้ง โดยให้เหตุผลว่า แบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานีไม่ไหว อีกทั้งต้องร่วมโครงการสถานีอวกาศนานาชาติด้วย ทำให้ขาดเงินทุน ปรับปรุง และอายุของสถานีก็นานมากทรุดโทรม และเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนสถานีอวกาศในปี 1997 ติดต่อกัน

     หัวหน้าองค์การอวกาศรัสเซีย Yuri Koptev กล่าวว่า "จะไม่เป็นการปลอดภัยหากปล่อยให้เมียร์ยังอยู่ใน วงโคจรต่อไป ระบบต่างๆของสถานีก็เริ่มชำรุดแล้ว" โดยครั้งแรกวางเป้าหมายจะให้สถานีอวกาศตกบริเวณ มหาสมุทรแปซิฟิค ทางตะวันออกของทวีปออสเตเลีย ราววันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2001 แต่ก็มีการเลื่อนกำหนดล่าสุดทางการรัสเซียแจ้งว่าจะให้สถานีอวกาศเมียร์กระทบโลกในวันที่ 20 มีนาคม 2001 นี้แน่นอน โดยจะทำการลดระดับความสูงของสถานีให้เหลือ 210 กิโลเมตร แล้ววันที่ 20 มีนาคม ยาน Progress จะจุดเครื่องยนต์ เพื่อลดระดับของสถานี โดยจะลงต่ำเหนือประเทศรัสเซียและจีน แล้วดิ่งหัวลงสู่ มหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีหลังจากจุดเครื่องยนต์ครั้งสุดท้าย และคาดว่า จะมีชิ้นส่วนเมียร์แตกออกราว 1,500 ชิ้น บางส่วนจะเผาไหม้ไปในชั้นบรรยากาศ คงมีบ้างที่เหลือน้ำหนัก มากสุด 40 ตันจะถึงผิวโลก ซึ่งในงานนี้รัสเซียได้ทำวงเงินประกันไว้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าหากชิ้นส่วนของเมียร์ ทำความเสียหายกับประชาชน โดยมีบริษัทประกันของรัสเซียเข้าร่วมกันครั้งนี้ 3 บริษัทด้วยกัน



ภาพสุดท้ายของเมียร์
รายงานการตกของสถานีอวกาศเมียร์ เมื่อวันที่ 23 มีค.2544


แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://www.satellite.eu.org/sat/vsohp/mir.html
http://dailynews.yahoo.com/h/ap/20010307/sc/russia_space_6.html
http://www.hq.nasa.gov/osf/mir/
http://liftoff.msfc.nasa.gov/rsa/mir.html
http://spaceflight.nasa.gov/history/shuttle-mir/ops/mir/mirdesc.html
http://www.maximov.com/Mir/homepage.asp
http://www.cosmicimages.com/Mir/mircurrent.html
http://space.about.com/science/space/library/

กระสวยอวกาศ


กระสวยอวกาศ (อังกฤษspace shuttle) คือ เครื่องบินอวกาศ ทะยานขึ้นเหมือนจรวดและไปโคจรรอบโลก มีปีกและตอนกลับสู่โลกจะร่อนลงตามรันเวย์ กระสวยอวกาศสามารถนำมาใช้ได้หลาย ๆ ครั้ง
กระสวยอวกาศของสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นโดยองค์การนาซ่า (NASA) มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Space Transportation System (STS) ผลิตโดยบริษัท North American Aviation ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Rockwell International.
สำหรับกระสวยอวกาศของสหภาพโซเวียต มีชื่อว่า บูราน (Buran - Бура́н แปลว่า พายุหิมะ) ปัจจุบันล้มเลิกโครงการไปแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ในสมัยประธานาธิบดีโบริส เยลท์ซิน เนื่องจากมีต้นทุนสูง และประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ หลังจากปฏิบัติการเพียงหนึ่งครั้ง ใช้เวลาในอวกาศเพียง 3 ชั่วโมง
กระสวยอวกาศถูกออกแบบมาให้ใช้งานซ้ำได้ 100 ครั้ง หรือปฏิบัติการได้ 10 ปี โครงการถูกเริ่มขึ้นในท้ายยุค 60 หลังจากนั้นก็มีบทบาทสำคัญในปฏิบัติการที่ต้องใช้คนเข้าร่วมของนาซามาโดยตลอด
ส่วนสำคัญของกระสวยอวกาศ เรียกว่า ออร์บิเตอร์ (orbiter หมายถึง ยานโคจร) จะพาลูกเรือและสัมภาระไปยังอวกาศในขณะที่จะส่งกระสวยอวกาศขึ้นไป กระสวยจะอยู่ที่ฐานส่งโดยจะตั้งชี้ขึ้นไปคล้ายจรวด ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์จะมีแทงค์น้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า แทงค์ด้านนอก (External Tank) ซึ่งมันจะเก็บออกซิเจนและไฮโดรเจนในขณะที่มันขึ้นเชื้อเพลิงเหล่านี้จะถูกสูบเข้าไปยังเครื่องยนต์หลัก 3 เครื่อง ของออร์บิเตอร์
นอกจากนี้ยังมีแทงค์ขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ออร์บิเตอร์บนฐานส่งเพื่อให้แรงผลักดันพิเศษในขณะส่งกระสวยขึ้น ซึ่งเรียกว่า Solid Fuel Rocket Booster หรือ SRB ทำงานคล้ายกับจรวดดอกไม้ไฟขนาดใหญ่
เมื่อกระสวยอวกาศทะยานขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที เชื้อเพลิงในแทงค์เชื้อเพลิง SRB ก็หมด และตกลงในทะเลกับร่มชูชีพ อัตราความเร็วของกระสวยค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงความเร็วประมาณ 72 ไมล์ จากนั้นเครื่องยนต์หลักก็หยุด และถังเชื้อเพลิงภายนอกซึ่งว่างเปล่าก็ตกลงทะเลเครื่องยนต์ของจรวดสองลำก็รับภาระต่อไป ซึ่งเรียกว่า ระบบการยักย้ายการโคจร ในระหว่างการโคจร
เมื่อถึงเวลากลับสู่โลก เครื่องยนต์ระบบการยักย้ายการโคจรจะถูกยิงคล้ายกับตอนล่างของจรวด และมันก็จะออกจากการโคจรของมัน จะกลับลงมาสู่บรรยากาศโลกในอัตราความเร็ว 15,900 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือประมาณ 25,700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แผ่นกำบังความร้อนข้างใต้กระสวยอวกาศจะเปล่งแสงสีแดงจัดพร้อมกับความร้อนในการกลับเข้ามาสู่โลก แผ่นกระเบื้องพิเศษบนกระสวยอวกาศจะป้องกันลูกเรือและยานอวกาศออร์บิเตอร์จะช้าลงเมื่อเข้ามาถึงบริเวณส่วนล่างของบรรยากาศ จะร่อนลงบนพื้นดินบนรันเวย์ด้วยความเร็วประมาณ 210 ไมล์แล้วหยุดการบินของกระสวยอวกาศก็จบลง
แต่เดิมกระสวยอวกาศถูกสร้างขึ้นมา 4 ลำ คือ แอตแลนติส (Atlantis) , ชาเลนเจอร์ (Challenger) , โคลัมเบีย (Columbia) และดิสคัฟเวรี (Discovery)
วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1986 กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุขณะบินขึ้น ภายหลังจึงมีการสร้างกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ (Endeavour) ขึ้นมาทดแทน
วันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2011 กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรีถูกปลดประจำการ ปัจจุบันจึงมีกระสวยอวกาศใช้งานอยู่ 2 ลำคือ กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ และ กระสวยอวกาศแอตแลนติส

สิ้นสุดโครงการ

นาซ่าจะยุติโครงการนี้หลังจากดำเนินมาเกือบ 50 ปีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 และเปลี่ยนไปพัฒนาจรวดรุ่นใหม่ ในโครงการ Orion เริ่มใช้งานในปี ค.ศ. 2014

อ้างอิง